Breaking News

วธ. จัดกิจกรรมเนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร น้อมถวายราชสดุดีแด่พระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก

 

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00 น. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม โดยมีพระพรหมวชิรสุธี เจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นางยุพา  ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม องค์กรเครือข่าย ประชาชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมในพิธี ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร






นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2559 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สิริพระชนมพรรษารวม 88 ปี 8 ปีแห่งกาลสวรรคต คือ 8 ปีแห่งการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จึงกำหนดจัดพิธีสวดพระพุทธมนต์ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันนวมินทรมหาราช และถวายราชสดุดีแด่พระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก ซึ่งกิจกรรมประกอบด้วย พิธีตักบาตรพระสงฆ์ พิธีสวดพระพุทธมนต์และสดับปกรณ์ พิธีรับมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจากพระพรหมวชิรสุธี เจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจากจังหวัดต่าง ๆ สำหรับส่วนภูมิภาค กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด 76 จังหวัด จัดโครงการหรือกิจกรรมเพื่อถวายราชสดุดีและถวายพระราชกุศล ประกอบด้วย พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ พิธีสวดพระพุทธมนต์ กิจกรรมรักษาศีลปฏิบัติธรรม กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การจัดนิทรรศการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในด้านศาสนา กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และกิจกรรมอื่นใดที่จังหวัดนั้น ๆ เห็นสมควร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติตามโบราณราชประเพณี ด้วยการเสด็จทรงออกผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระองค์ทรงรับการบรรพชาเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้รับสมณนามจากพระอุปัชฌาย์จารว่า “ภูมิพโลภิกขุ” จากนั้นเสด็จประทับ ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร โดยพระองค์ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัย ตามแบบอย่างพระภิกษุโดยเคร่งครัด สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในฐานะพระพี่เลี้ยง ได้เล่าถึงพระราชจริยาวัตรขณะทรงผนวชไว้ในหนังสือ “ในหลวงของเรา” ว่า“สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้มอบหมายให้เป็นพระพี่เลี้ยง จากการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ได้มีความรู้สึกว่า พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะได้ทรงพระผนวชตามราชประเพณีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ แต่ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธา ที่ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง มิได้เป็นบุคคลจำพวกที่เรียกว่าหัวใหม่ ไม่เห็นศาสนาเป็นสำคัญ แต่ได้ทรงเห็นคุณค่าของพระศาสนา ฉะนั้น ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญก็กล่าวได้ว่า บวชด้วยศรัทธา เพราะพระองค์ทรงผนวชด้วยพระราชศรัทธาประกอบด้วยพระปัญญา และได้ทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างเช่น เมื่อเสด็จฯ ไปทั้งในวัดและนอกวัดไม่ทรงสวมฉลองพระบาท เสด็จไปด้วยพระบาทเปล่าทุกแห่ง ได้ทรงปฏิบัติกิจวัตรต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ และทรงรักษาเวลามาก เมื่อตีระฆังลงโบสถ์ในวันปกติทุกเช้าเย็น เวลา 8.00 น. และ เวลา 17.00 น. ก็จะเสด็จลงโบสถ์ทันที ทำให้พระภิกษุสามเณรทั้งวัดพากันรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด โดยที่ได้ไปประชุมกันในโบสถ์ก่อนเวลาที่จะเสด็จฯถึง” 




รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่า ขอเชิญชวนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ศึกษาเรียนรู้พระราชกรณียกิจ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ร่วมกันพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป





ไม่มีความคิดเห็น